รถไฮบริดรุ่น All NEW MG 3 HYBRID+ ALL NEW MG3 รถยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริด การมาของ ALL NEW MG3 ขุมพลังไฮบริด เป็นจุดสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ MG

ต้องยอมรับกันว่ากระแสรถไฟฟ้านั้นมาแรงจริงๆ แต่สำหรับใครบ้างคนอาจมองว่า มันไม่เข้ากับตัวเอง ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ไม่ว่าเวลาในการชาช์จ หรือระยะในการเดินทางที่วิ่งได้ไกลไม่มากพอ ดังนั้นผู้บริโภคหลายคนเลยหันมาคบกับรถยนต์ไฮบริดแทน แน่นอนครับ ผมจะพาทุกๆท่านมารู้จักกับรถไฮบริดรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจ นั้นคือ All NEW MG 3 HYBRID+ ALL NEW MG3 รถยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริด การมาของ ALL NEW MG3 ขุมพลังไฮบริด เป็นจุดสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ MG

เทคโนโลยีไฮบริดใหม่กับครั้งแรกที่ผสมผสานประสิทธิภาพการขับขี่ ควบคู่ไปกับ NET ZERO EMISSIONS หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก ALL NEW MG3 รถยนต์ไฮบริด 5 ประตู ในกลุ่ม B-SEGMENT สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MG ในการมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของการขับขี่ การประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่รวมถึงความประณีตของงานดีไซน์ ฟีเจอร์เพื่อความบันเทิงครบครัน อาทิ หน้าจอคู่แบบใหม่ และการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมครบทุกรูปแบบ ซึ่งโมเดลนี้จะตอบโจทย์ความคุ้มค่าของลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี หากพูดถึงรถยนต์ MG3 ในประเทศไทย รถรุ่นนี้ ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มจี ประเทศไทย ด้วยขนาดรถที่เล็กปราดเปรียว มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยดีไซน์ การขับขี่ และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ทำให้มียอดขายสะสมในประเทศมากกว่า 33,000 คัน

     

All-new MG3 Hybrid+ ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 2 ในตลาดเมืองไทย (หรือ Gen 3 ในตลาดโลก) โดยมีการยกระดับงานดีไซน์เพื่อจับกลุ่มลูกค้าชาวยุโรป ด้วยเส้นสายที่สอดคล้องกับรถ MG ยุคใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED ดีไซน์แบบ Hunter Eye Headlamp รับกับกระจังหน้าที่เน้นความโค้งมน ขณะที่ไฟท้ายถูกระบุว่าได้แรงบันดาลใจมาจากปีกของผีเสื้อ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ใช่ไฟท้ายแบบ LED จะเห็นได้ว่า MG3 Hybrid+ ใหม่ มีขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะความกว้างที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงเกือบ 6 เซนติเมตร และความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 5 เซนติเมตร เหล่านี้มีผลช่วยให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาด 293 ลิตร สามารถขยายเพิ่มเป็น 1,037 ลิตร เมื่อพับพนักพิงเบาะหลังลง

        ภายในห้องโดยสารของ MG3 Hybrid+ ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Modular Concept เน้นออกแบบให้ดูมีมิติ โดยรุ่นท็อปจะถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับดำ พร้อมแผงคอนโซลหน้าที่ถูกจัดวางหน้าจอและพวงมาลัยคล้ายกับ MG4 ภายในห้องโดยสาร MG3 2024 สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับ วัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room) ที่ไม่อึดอัด โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่กว้างที่สุดในคลาสเดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi – Function Display) และหน้าจอสี ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลำโพง 6 จุด ช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ที่พักแขนด้านหน้า และเบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล ระบบกรองอากาศ PM 2.5 เหนือคอนโซลหน้าถูกติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อม Interface หน้าตาคุ้นเคย เสริมการทำงานด้วยปุ่ม Home และปุ่ม Hotkeys ต่างๆ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมช่อง USB-A และ USB-C อย่างละ 1 ช่องที่ด้านหน้า และช่อง USB-A อีก 1 ช่อง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง

        

ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งให้กำลังมากที่สุดในคลาสเดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า  (100 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร แรงสุดในกลุ่ม B-Segment ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที จากเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ของ เอ็มจี อย่างระบบ HYBRID+ กับ 8 โหมดขับเคลื่อนที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ ที่ประหยัดน้ำมันสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร การทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว DVVT 102 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ให้ขุมพลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า (143 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Cell-To-Pack ความจุ 1.83 kWh โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT

ระบบไฮบริดของ MG3 Hybrid+ ถือเป็นระบบ Full-hybrid เต็มรูปแบบ โดยทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์จะยังคงดับอยู่ เมื่อเคลื่อนตัวออกจากจุดสตาร์ทก็จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ป้อนให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถเคลื่อนที่ได้อย่างเงียบเชียบ

      มาลองขับกันดูครับ เมื่อรถเริ่มออกถนน ทันทีที่กดคันเร่งปุ๊ป เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นเพื่อสร้างพละกำลังให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องยอมรับว่าอัตราเร่งทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว แม้ว่าพละกำลังรวม 194 แรงม้า กับตัวถังแบบ 5 ประตูขนาดเล็กแบบนี้ เราคาดหวังว่าน่าจะต้องพุ่งไวกว่านี้สักหน่อย แต่โดยรวมถือว่าเป็นรถที่มีกำลังแรงคันหนึ่งทีเดียว หากผู้ขับขี่ประคองคันเร่งเพิ่มความเร็วแบบค่อยเป็นค่อยไป บวกกับมีปริมาณแบตเตอรี่คงเหลืออยู่พอประมาณ ตัวรถจะสามารถเร่งความเร็วด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวมากกว่า 80 กม./ชม. ขึ้นไป บางจังหวะอาจเกิน 100 กม./ชม. ไปเลยก็มี จนแอบเผลอลืมตัวว่ากำลังขับรถไฮบริด ไม่ใช่รถไฟฟ้าแต่อย่างใด การตัดต่อกำลังระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำได้ค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน บางครั้งแทบไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเครื่องยนต์ติดขึ้นหรือยัง ต้องอาศัยการแสดงผลระบบไฮบริดบนหน้าจอเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานอยู่หรือไม่… แต่! หากว่าเครื่องยนต์ติดขึ้นในขณะรถหยุดนิ่งแล้วล่ะก็ เสียงของเครื่องยนต์จะแทรกเข้ามายังห้องโดยสารอยู่พอสมควร